เจาะน้ำบาดาล-กรุงเทพ

3.กรองความขุ่นของน้ำบาดาล

เป็นการกรองความขุ่นของน้ำบาดาล เพราะน้ำบาดาลในตอนแรกจะไม่ได้มีสีใสสะอาดสักเท่าไหร่ บางครั้งก็จะมีสีขุ่นแบบน้ำคลอง หรือบางทีสีของน้ำบาดาลอาจจะมีส้ม ๆ แดง ๆ ก็ได้เช่นกัน

 

4.กรองสนิมเหล็กที่เจือปนในน้ำบาดาล

โดยธรรมชาติแล้วน้ำบาดาลจะมีตะกอนของเหล็กละลายผสมเจือปนอยู่ด้วย เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้งาน แน่นอนเลยว่าสนิมเหล็กเหล่านั้นยังคงตกค้างเจือปนอยู่ ซึ่งถังกรองสนิมเหล็กก็จะเข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้

 

5.กรองเรซิ่นเพื่อกำจัดหินปูน

หากน้ำบาดาลของท่านถูกตรวจพบว่ามีหินปูนเจือปนอยู่ สิ่งที่จะต้องทำก็คือการปรับสภาพน้ำบาดาลด้วยสารกรองเรซิ่น เพื่อช่วยลดความกระด้างของน้ำบาดาลก่อนนำไปใช้อุปโภค-บริโภค แต่ถ้าหากว่าน้ำบาดาลไม่มีหินปูนเจือปนอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องกรองน้ำบาดาลผ่านสารกรองชนิดนี้ค่ะ

 

6.กรองกลิ่น สี เคมีที่มากับน้ำ

หลังจากที่ผ่านการกรองความขุ่น กรองสนิมเหล็ก และกรองหินปูนในน้ำบาดาลเรียบร้อยแล้ว ถังกรองน้ำบาดาลใบสุดท้ายจะทำหน้าที่กรองกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ กรองสีของน้ำบาดาล รวมถึงกรองเอาสารเคมีต่าง ๆ ที่เจือปนมากับน้ำบาดาลออกไป เพื่อทำให้ได้น้ำบาดาลที่มีคุณภาพ และปลอดภัยกับการใช้งาน

 

7.สูบน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองเข้าสู่ถังเก็บน้ำ

หลังจากที่ผ่าน ขั้นตอนการกรองน้ำบาดาล เรียบร้อยแล้ว ที่นี้ก็จะได้น้ำบาดาลที่มีคุณภาพเอาไว้ใช้งานแล้วค่ะ ซึ่งถังเก็บน้ำใบนี้จะมีปั๊มน้ำแบบอัตโนมัติ ที่จะเปิด-ปิดการจ่ายน้ำตามการใช้งานภายในบ้าน ชุมชม โรงงาน พูดง่าย ๆ ก็คือว่า หากไม่มีการเปิดก๊อกน้ำใช้งาน ปั๊มน้ำอัตโนมัติตัวนี้ก็จะไม่ทำงานนั่นเองค่ะ

 

จะเห็นได้ว่า น้ำบาดาลเป็นน้ำจากธรรมชาติที่มีสิ่งเจือปนตามมาอย่างมากมาย หากไม่รู้จัก วิธีกรองน้ำบาดาล หรือบำบัดคุณภาพน้ำบาดาลที่ถูกต้อง ก็จะทำให้คุณภาพของน้ำบาดาลนั้นไม่ดี นำไปใช้อุปโภค-บริโภคแล้วอาจจะเป็นอันตรายได้ ฉะนั้นแล้วการกรองน้ำบาดาลเพื่อกรองหินปูน สนิมเหล็ก ฯลฯ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เพื่อให้สามารถสูบจ่ายน้ำบาดาลไปใช้งานได้อย่างปลอดภัยนั่นเองค่ะ