4.ตัวศาลจะต้องไม่โดยปะทะจากมุมต่างๆ เช่น (ให้วัดองศา)
(4.1) มุมแหลมของตัวอาคาร (4.2)ชายคาบ้าน (4.3) มุมแหลมของรั้วบ้าน (4.4) ใต้ชายคาในตำแหน่งที่ฝนไหลลงมาปะทะถูกตัวศาล (4.5) ตำแหน่งที่ถูกรถเลี้ยวเข้าไป ปะทะ(4.6) ตำแหน่งใกล้ถังขยะ (4.7) ตำแหน่งใกล้ท่อระบายน้ำ
5.ตำแหน่ง ของศาล หากเป็นศาลประธาน ให้อยู่ด้านขวามือ ซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่กว่า เช่นมีศาลพระภูมิกับศาลตายาย ให้ศาลพระภูมิอยู่ด้านขวา ศาลตา-ยายอยู่ด้านซ้าย (ให้ยืนตรงตำแหน่งที่ตั้ง แล้วหันหน้าออกตามทิศหน้าศาลที่จะตั้ง ก็จะรู้ตำแหน่งซ้าย-ขวาที่ถูกต้อง)
6.ความสูงของฐาน ไม่มีการกำหนดแน่นนอน แต่จะต้องสูงกว่า
(6.1)ความสูงถนนหน้าบ้าน (6.2)ความสูงธรณีประตู (6.3)ความสูงของชักโครกห้องน้ำในบ้าน (6.4)ความสูงของพื้นในบ้าน พิจารณารวมทุกข้อความสูงของฐานจะต้องไม่น้อยกว่า10- 30 ซม.
7.บันไดของฐานตั้งศาล จะต้องให้เป็นเลขคี่ เช่น 1ขั้น 3ขั้น (นับลูกบันได)
8.หลุมใส่ของมงคลใต้ฐานศาลพระภูมิ ให้มีขนาด กว้าง 20 X 20 ซม. ลึก 30 ซม. ใส่ทรายรองพื้นไว้ครึ่งหนึ่งของความลึกของหลุม หากมีศาลพระภูมิและตา-ยาย ให้เจาะหลุมแค่ฐานของศาลพระภูมิเพียงแห่งเดียว ในการขอฤกษ์ จะมีตัวอย่างแบบแปลนตั้งศาลให้ ซึ่งเป็นแบบขนาดใหญ่ ให้ช่างทำการลด หรือเพิ่ม สเกล ตามความเหมาะสม ของพื้นที่
วิธีการใช้ฤกษ์ตั้งศาลในระบบโหราศาสตร์
การให้ฤกษ์โดยระบบโหราศาสตร์ภารตะหรือโหราศาสตร์แบบโหรพราหมณ์ ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับโหราศาสตร์ไทยชั้นสูงที่ใช้กันในบุคคลชั้นสูงและการกำหนดพิธีกรรมในพระราชพิธีต่างของกษัตริย์ในสมัยโบราณ มีการคำนวณโดยวิธีการสลับซับซ้อนทางดาราศาสตร์และหลักการทางโหรซึ่งต่างกับโหราศาสตร์ระบบอื่น ๆ และกำหนดเป็นฤกษ์ยามเฉพาะตัวบุคคลนั้น ๆในการทำการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์เพียงเจ้าของฤกษ์คนเดียวเท่านั้น ผู้อื่นจะนำไปใช้ก็จะไม่เกิดผลดีตามฤกษ์ที่กำหนดไว้
บางคนชอบโทรมาถามว่าวันนี้เป็นวันดีไหม ผมตอบไม่ได้หรอกครับเพราะฤกษ์มีทั้งฤกษ์บนฤกษ์ล่าง ฤกษ์บนก็คือวันที่ดวงดาวบนท้องฟ้าให้พลังที่เป็นศุภผล เป็นวันดีก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้ทุกคน หรือวันนี้เป็นวันดีฤกษ์ดีแต่จะดีตลอดทั้งวันก็หาไม่ และหากไปคำนวณดูชาตากำเนิดของเรา(ฤกษ์ล่าง) ก็อาจจะขัดแย้งกับฤกษ์บน(ท้องฟ้า) ก็ทำการมงคลในวันนั้นไม่ได้อีก ที่พูดวันว่าวันนี้วันดีก็มิใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะฉะนั้นเข้าใจไว้ว่าวันดีมีทุกวัน แต่ฤกษ์ที่ดีเหมาะกับเรานั้นอาจจะทั้งปีมีแค่วันเดียว ส่วนวันร้ายก็มีทุกวันเหมือนกัน แต่จะร้ายกับเราทุกวันก็ไม่ใช่ ฉะนั้นฤกษ์ยามก็คือการคำนวณพลังความสัมพันธ์ระหว่างดาวบนท้องฟ้ากับมนุษย์ที่อยู่บนดินให้สัมพันธ์กันนั่นเอง
1.เมื่อได้ฤกษ์ยามได้กำหนดไว้แล้วให้เตรียมการล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆเพื่อจะได้ไม่ให้ผิดพลาด เพราะหัวใจของฤกษ์ยามก็คือ”เวลา” ที่เป็นศุภผล
2.ในการให้ฤกษ์ผมจะคำนวณเวลาที่เหมาะสมกับดวงชาตาของท่านที่ดี่ที่สุดเพียงฤกษ์เดียวเท่านั้น บางคนพยายามขอหลายๆวันเผื่อเลือก ซึ่งฤกษ์ที่ให้แต่ละฤกษ์คำนวณด้วยความยากลำบากมาก เพราะผมคำนวณด้วยมือ ดวงชาตาแต่ละดวงชาตา อย่างน้อยก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง และสอบทานฤกษ์ในกฎเกณฑ์อื่น ๆอีกเป็นวันๆ (ไม่ใช่ฤกษ์ประเภทเปิดหนังสือดูปฏิทินแล้วให้ฤกษ์อย่างที่เราคุ้ยเคยกัน ซึ่ง 5 นาทีก็ให้ฤกษ์กันได้แล้ว)
3.อย่างไรก็ตามการใช้ฤกษ์ชั้นสูงนี้มักจะมีเหตุที่ทำให้เจ้าการมักจะใช้ไม่ได้ตามเวลาที่กำหนดอยู่บ่อยครั้งอันเนื่องมาจาก ดวงฤกษ์ที่สูงเกินวาสนาของเจ้าการ(เจ้าของดวง) หรือเจ้าของดวงมีเหตุที่ถูกอุปสรรคขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวร หรือวิบากกรรมอื่นๆ ที่จะไม่ไห้ได้ผลสำเร็จตามฤกษ์นั้น ๆ เช่นว่า จะต้องตั้งศาลวันนี้ตามฤกษ์ แต่บังเอิญรถที่ส่งศาลมาติดตั้งเกิดขัดข้องมาไม่ได้ ก็ตั้งศาลตามฤกษ์ในวันนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องระวัง
4. การใช้เวลาตามฤกษ์ควรจะต้องคำนวณเวลาให้ตรงตามเวลาท้องถิ่นที่เป็นมาตรฐานสำหรับสถานที่นั้น ๆ หรืออย่างน้อยนาฬิกาจะต้องตรง โดยเทียบจากเวลามาตรฐานของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ โดยโทรไปที่หมายเลข 1811
ซึ่งจะบอกเวลามาตรฐานประเทศไทย ซึ่งผมใช้เวลามาตรฐานประเทศไทยนี้คำนวณฤกษ์ ฉะนั้นจะต้องตรงกันทั้งสองฝ่าย
5.เวลาจากดวงฤกษ์ที่ให้เป็นการคำนวณเวลาเริ่มต้นของฤกษ์(ปฐมฤกษ์) และเวลาสิ้นสุดฤกษ์(ปัจฉิมฤกษ์) เช่นฤกษ์ที่กำหนดเป็น “ปฐมฤกษ์เริ่มเวลา 09.09 – 09.39 น.เป็นปัจฉิมฤกษ์” หมายความว่าหัวใจในการทำกิจกรรมนั้น ๆจะต้องเริ่มต้นในเวลา 09.09 น.จนถึง 09.39 น. รวม 30 นาที (ปกติอาจารย์จะให้เวลาเริ่มต้นและเวลาสุดฤกษ์เอาไว้ให้ในใบฤกษ์)
เช่นการตั้งศาล ก็ให้นำเอาเจว็ด หรือ องค์พระชัยมงคล ตา-ยาย เข้าประทับในศาลตามเวลาฤกษ์ หรือในบางกรณี ก็นับฤกษ์จากการตอกไม้มงคลแล้วยกเสาศาลขึ้นตั้งภายในเวลาฤกษ์
6.การใช้ฤกษ์ให้เกิดผลดีและเกิดศุภผลตามที่ท่านต้องการ อย่างน้อยที่สุดท่านจะต้องสมาทานศีล 5 รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์ และในขณะที่กระทำการตามฤกษ์นั้น ๆ จิตใจจะต้องแน่วแน่มั่นคงไม่หวั่นไหว ห้ามมีอารมณ์โกรธเคือง โมโห หรือมีเจตนาจะไปประทุษร้ายต่อใคร จิตใจต้องไม่วอกแวก สับสน วิตกกังวล ฯลฯ เมื่อทำได้ครบตามที่กล่าวแล้วดวงฤกษ์ก็จะมีอิทธิพลังเป็นศุภผลส่งผลเกิดผลดีให้แก่ดวงชาตา และเกิดความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
7.ในสมัยก่อนนี้ บางคนมักชอบว่ามาขอฤกษ์กับอาจารย์ต้องรอนานมาก กว่าจะได้ บางคนเป็นเดือน ก็ไม่มีฤกษ์จะให้ ต้องขอชี้แจงอย่างนี้ว่า โหราศาสตร์ระบบนี้ไม่เหมือนระบบอื่น โหรผู้ให้ฤกษ์ ต้องต้องดูฤกษ์สำหรับการให้ฤกษ์ก่อนเหมือนกัน ไม่สามารถทำแบบสุกเอาเผากินไม่ได้
โหรผู้คำนวณฤกษ์ก็ต้องตรวจดวงดาวบนท้องฟ้าก่อนว่าวันไหนเหมาะแก่การคำนวณฤกษ์ วันไหนห้ามคำนวณฤกษ์ เช่น วันสิ้นปี สิ้นเดือน สิ้นปีนักษัตร วันพระจันทร์ดับ พระจันทร์เต็มดวง วันโกน วันพระ วันดาวดับบนฟ้า วันที่ดาวพุธโคจรวิกลคติพักรองศา(อันนี้อาจต้องรอเป็นเดือน) วันที่มีคราส (ภายในหน้าหลัง 7 -14 วัน) ก็คำนวณฤกษ์ไม่ได้ เมื่อได้วันแล้วก็ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย จุดธูปเทียนบูชาพระ พ่อแม่ครูอาจารย์ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ก่อนทำการคำนวณดวงฤกษ์ทุกครั้งไป ฉะนั้นฤกษ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูชาตาและวาสนาของเจ้าชาตาก่อนด้วย